13.11.53

ประวัติความเป็นมาของกล้องดิจิตอล



นับตั้งแต่ที่มีการคิดค้นการถ่ายภาพจนปรากฏภาพถ่ายแรกของโลกที่เรารู้จักและมีหลักฐานมาถึงวันนี้ในปี ค.ศ. 1825 หรือเกือบ 200 ปีมาแล้ว กล้องถ่ายภาพมี วิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงมาอย่างช้าๆ เริ่มจากกล้องสำหรับผู้ใช้ทั่วๆไปตัวแรกของโลก คือ Daguerrotype ในปี ค.ศ. 1839 จำหน่ายในราคาประมาณ 50 ดอลล่าร์สหรัฐ




ปี 1992 โกดัก เปิดตัวกล้องดิจิตอล SLR ใหม่อีกครั้งใน Photokina โดยใช้บอดี้ Nikon F801s ที่เป็นกล้องระบบออโต้โฟกัส กล้องรุ่นนี้มีฮาร์ดไดรว์ที่ใช้จัดเก็บภาพในตัว ขนาดจึงดูใหญ่โตโดยมีฐานบอดี้ที่สูงขึ้นมาก มีให้เลือก 2 รุ่น คือ DCS 200C ถ่ายภาพสีและ DCS 200M ถ่ายภาพขาวดำ ความละเอียด 1.54 ล้านพิกเซล ใช้ได้กับเลนส์และแฟลชของ Nikon แต่ต้องคูณทางยาวโฟกัสเพิ่มเนื่องจาก CCD มีขนาดเล็กมาก หากใช้เลนส์ 28 มม. จะเทียบเท่ากับเลนส์ 80 มม.ของกล้อง 35 มม. ความไวแสง ISO 50-400 สำหรับภาพสีและ ISO 100-800 สำหรับกล้องขาวดำ


ปี 1995 โกดักได้ปลุกกระแสทางด้านภาพดิจิตอลครั้งใหญ่ โดยการนำเอาเทคโนโลยีใหม่ของโกดักที่เรียกว่า โฟโต้ซีดี เพียงส่งฟิล์มเนกาตีฟสีหรือฟิล์มสไลด์สีไปสแกนลงแผ่นซีดีรอม ก็จะได้ภาพดิจิตอลสำหรับนำมาใช้งานทันที ซึ่งในปีเดียวกันนิตยสารชัตเตอร์ฯ ก็ได้ตีพิมพ์บทความเกี่ยวกับ โฟโต้ซีดี ด้วยการนำภาพจากฟิล์มสไลด์ไปทำเป็นโฟโต้ซีดีแล้วนำภาพมารีทัชซ้อนฉากหลังเข้าไป จากนั้นตีพิมพ์เป็นภาพหน้าปก




ตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมาถึงปัจจุบัน กล้องดิจิตอลมีการพัฒนาอย่างมาก ในแต่ละปีมีกล้องรุ่นใหม่ๆ จากหลายสิบยี่ห้อนับร้อยรุ่น ตั้งแต่กล้องคอมแพคตัวเล็กๆ จนถึงกล้องรุ่นใหญ่สำหรับมืออาชีพ ความละเอียดเพิ่มมากขึ้นจาก 2, 3, 4 เป็น 5 ล้านพิกเซล กล้องคอมแพคบางรุ่นในวันนี้เช่น Sony DSC-F828 มีความละเอียดสูงถึง 8 ล้านพิกเซล ส่วนดิจิตอล SLR ก็ขึ้นไปถึง 14 ล้านพิกเซลใน Kodak DSC-Pro14n

หน้าแรก

การจัดองค์ประกอบของภาพ



การจัดองค์ประกอบภาพ (Composition)
      สำหรับการถ่ายภาพให้ได้ภาพที่ตรงตามความต้องการ มีคุณค่า มีความงามทางด้านศิลปะ นอกจาก จะทำความเข้าใจในเรื่องของการใช้กล้องถ่ายภาพ และเครื่องมือที่มีคุณภาพแล้ว การจัดองค์ประกอบภาพ ก็เป็นสิ่งที่สำคัญ ที่จะทำให้ภาพมีคุณค่าขึ้น ดังนั้นเราจึงมาศึกษาการจัดองค์ประกอบภาพ ซึ่งในบทนี้ จะกล่าวถึงการจัดองค์ประกอบภาพอยู่ 10 ลักษณะ  คือ

  • รูปทรง  เป็นการจัดองค์ประกอบภาพที่ให้ความรู้สึก สง่างาม มั่นคง เหมาะสำหรับการถ่ายภาพ ทางสถาปัตยกรรม การถ่ายภาพวัตถุ หรือถ่ายภาพสิ่งต่างๆ เน้นให้เห็นความกว้าง ความสูง ความลึก โดยให้เห็นทั้งด้านหน้าและด้านข้าง และความลึก หรือที่เรียกว่าให้เห็น Perspective หรือภาพ 3 มิติ
  • รูปร่างลักษณะ มีการจัดองค์ประกอบภาพตรงข้ามกับรูปทรง คือเน้นให้เห็นเป็นภาพ 2 มิติ คือ ความกว้างกับความยาว ไม่ให้เห็นรายละเอียดของภาพ หรือที่เรียกว่าภาพเงาดำ ภาพลักษณะนี้ เป็นภาพที่ดูแปลกตา น่าสนใจ ลึกลับ ให้อารมณ์และสร้างจินตนาการ ในการในการดูภาพได้ดีนิยมถ่ายภาพในลักษณะ ย้อนแสง    
             ข้อควรระวังในการถ่ายภาพลักษณะนี้คือ วัตถุที่ถ่ายต้องมีความเรียบง่าย เด่นชัด สื่อความหมาย ได้ชัดเจน ฉากหลังต้องไม่มารบกวนทำให้ภาพนั้น หมดความงามไป
  • ความสมดุลที่เท่ากัน  เป็นการจัดองค์ประกอบภาพเพื่อให้ภาพดูนิ่ง สง่างาม น่าศรัทธา คล้ายกับแบบเน้นด้วยรูปทรง แต่จะแสดงออกถึงความสมดุล นิ่ง ปลอดภัย ภาพลักษณะนี้อาจจะดูธรรมดา ไม่สะดุดตาเท่าใดนัก แต่ก็มีเสน่ห์และความงามในตัว
  • ความสมดุลที่ไม่เท่ากัน  การจัดภาพแบบนี้ จะให้ความรู้สึกที่สมดุลย์เช่นเดียวกับแบบที่แล้ว แต่จะต่างกันอยู่ที่ วัตถุทั้งสองข้าง มีขนาดและรูปร่างที่แตกต่างกัน แต่จะสมดุลได้ด้วยปัจจัยต่าง ๆ กัน เช่น สี  รูปทรง ท่าทาง  ฉากหน้า  ฉากหลัง ฯลฯ ภาพดูน่าสนในกว่าแบบสมดุลที่เท่ากัน แต่ความรู้สึกที่มั่นคงจะ น้อยกว่า แต่แปลกตาดี
  • ฉากหน้า  ส่วนใหญ่จะใช้ในการถ่ายภาพทิวทัศน์ หรือภาพอื่น ๆ ใช้ฉากหน้าเป็นตัวช่วยให้เกิดระยะ ใกล้ กลาง ไกล หรือมีมิติขึ้น ทำให้ภาพน่าสนใจอาจใช้กิ่งไม้ วัตถุ หรือสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ใกล้กับกล้องเพื่อช่วยเน้นให้จุดสนใจที่ต้องการเน้น มีความเด่นยิ่งขึ้น และไม่ให้ภาพมีช่องว่างเกินไป
                           ข้อควรระวัง  อย่าให้ฉากหน้าเด่นจนแย่งความสนใจจากสิ่งที่ต้องการเน้น จะทำให้ภาพลดความงามลง
  • ฉากหลัง  พื้นหลังของภาพก็มีความสำคัญ หากเลือกที่น่าสนใจ กลมกลืน หรือช่วยให้สิ่งที่ต้องการ เน้นเด่นขึ้นมา ควรเลือกฉากหลังที่กลมกลืน ไม่ทำให้จุดเด่นของภาพด้อยลง หรือมารบกวนทำให้ภาพนั้นขาดความงามไป
  • กฏสามส่วน  เป็นการจัดภาพที่นิยมมากที่สุด ภาพดูมีชีวิตชีวา ไม่จืดชืด การจัดภาพโดยใช้เส้นตรง 4 เส้นตัดกันในแนวตั้งและแนวนอน จะเกิดจุดตัด 4 จุด (ดังภาพ) หรือแบ่งเป็น 3 ส่วน ทั้งแนวตั้งและแนวนอน  การวางจุดสนใจของภาพจะเลือกวางใกล้ ๆ หรือ ตรงจุด 4 จุดนี้ จุดใดจุด  หนึ่ง โดยหันหน้าของวัตถุไปในทิศทางที่มีพื้นที่ว่างมากกว่า ทำให้ภาพดูเด่น ไม่อึดอัด ไม่แน่น หรือหลวมจนเกินไป นักถ่ายภาพทั้งมืออาชีพ และมือสมัครเล่นนิยมจัดภาพแบบนี้มาก

  • เส้นนำสายตา  เป็นการจัดภาพที่ใช้เส้นที่เกิดจากวัตถุ หรือสิ่ง อื่น ๆ ที่มีรูปร่างลักษณะใกล้เคียงกัน เรียงตัวกันเป็นทิศทางไปสู่จุดสนใจ ช่วยให้วัตถุที่ต้องการเน้นมีความ เด่นชัด และน่าสนใจยิ่งขึ้น 
  • เน้นด้วยกรอบภาพ  แม้ว่าภาพถ่ายจะสามารถนำมาประดับ ตกแต่งด้วยกรอบภาพอยู่แล้ว แต่การจัดให้ฉากหน้าหรือส่วนประกอบอื่นล้อมกรอบจุดเด่น เพื่อลดพื้นที่ว่าง หรือทำให้สายตาพุ่งสู่จุดสนใจนั้น ทำให้ภาพกระชับ น่าสนใจ

  • เน้นรูปแบบซ้ำซ้อน   หรือแบบ Pattren เป็นการจัดภาพที่มีรูปร่าง ลักษณะ ที่คล้าย ๆ กันวางเป็นกลุ่มทำให้ภาพดูสนุก สดชื่น และมีเสน่ห์แปลกตา
            ที่ได้กล่าวมาทั้ง 10 ลักษณะ เป็นเพียงการจัดองค์ประกอบภาพที่เป็นที่นิยมกัน และเป็นพื้นฐาน ในการฝึกปฏิบัติการถ่ายภาพเท่านั้น ผู้ถ่ายภาพ ควรฝึกการจัดองค์ประกอบภาพในลักษณะ ที่แปลกใหม่ อยู่เสมอ ซึ่งเชื่อแน่ว่าคุณต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน

เทคนิคการแต่งภาพสไตล์โลโม



หลายคนอาจจะงงว่าภาพ โลโม (LOMO) มันคืออะไร มันก็คือภาพที่มี Contrast จัดๆ ขอบรูปมืดๆ นั้นเอง ภาพที่ตกแต่งด้วยสไตล์โลโมนั้นจะมีลักษณะสีที่ดูสดขึ้น ทำให้ภาพธรรมดา ๆ มีความโดดเด่นขึ้นในด้านของสีสรรที่สวยงาม แม้ว่าเราจะไม่มีกล้องโลโมที่จะถ่ายภาพให้ออกมาแปลกตา แต่เราก็สามารถนำภาพจากกล้องดิจิตอลของเรา มาดัดแปลงแต่งเติมให้เป็นภาพแนวโลโมได้ไม่ยากค่ะ วันนี้ทางทีมงาน Design guru ขอแนะนำวิธีการทำภาพแนวโลโมแบบไม่ต้องออกแรงมากค่ะ เพราะเราจะใช้ Script ซึ่งเป็นวิธีแบบสำเร็จรูป
ก่อนที่จะเริ่มลงมือทำงั้น จะต้องโหลดตัว Script มาลงก่อนค่ะ โหลด Script Lomo จากนั้นทำการแตกไฟล์ที่ได้มา แล้วนำไฟล์ที่ชื่อว่า CHLomoScript ไปไว้ที่ C:\Program Files\Adobe\Adobe Photoshop CS2\Presets\Scripts เมื่อลง Script เรียบร้อยแล้วก็เปิดโปรแกรม Photoshop ได้เลยค่ะ
1. ให้เปิดรูปที่ต้องการขึ้นมาค่ะ โดยไปที่ File---->Open
 
2. เมื่อได้รูปที่ต้องการแล้วให้ไปที่ เมนู File ---> Scripts --- > CHLomoScript ค่ะ แล้วรอสักครู่เพื่อให้โปรแกรมจัดการรูปภาพให้เรา
 
3. จากรูปที่ได้จะเห็นว่าสีมันจัดจ้านแสบตามาก เราต้องมาลดสีมันนิดหน่อย โดยคลิกเลือกที่เลเยอร์ Background และไปที่เมนู Image ---> Adjustments ---> Hue/saturation หรือ Ctrl+U
ปรับค่า Saturation ตามใจชอบเพื่อลดความจัดของสีลงหน่อย จากในตัวอย่างปรับลดลงประมาณ -35
รูปที่ทำเรียบร้อยแล้ว
เปรียบเที่ยบความแตกต่างของรูปก่อนทำและหลังทำ
***แม้ว่าทางทีมงาน ReadyPlanet จะไม่สามารถ Support โปรแกรม Photoshop ให้ท่านได้ แต่บทความนี้ เป็นความตั้งใจของทีมงานฝ่าย Web Design ที่เขียนขึ้นมาเพื่อให้ท่านได้เป็นแนวทางในการศึกษาเพิ่มเติม จากโปรแกรม Photoshop เพื่อใช้ในการออกแบบ และตกแต่งภาพบนเว็บไซต์ให้ออกมาสวยงามเท่านั้น***
01 Aug 2008
Jaratsri Chansirimas
www.ReadyPlanet.com

12.11.53

อุปกรณ์ในการถ่ายภาพ

อุปกรณ์ในการถ่ายภาพ

        
         1. ตัวกล้อง (Body) ทำหน้าที่เป็นห้องมืดป้องกันแสงภายนอกเข้าไป
ถูกฟิล์มที่บรรจุอยู่ภายในและเป็นที่ยึดส่วนประกอบ ตลอดจนอุปกรณ์ต่างๆ ที่
ช่วยในการถ่ายรูป

         2. เลนส์ (Lens) ทำหน้าที่รับแสงสะท้อนจากวัตถุส่งไปยังฟิล์มที่บรรจุ
อยู่ในตัวกล้องฟิล์มจะบึนทึกภาพเอาไว้ กล้องบางชนิดสามารถถอด เปลี่ยนเลนส์
ได้ตามความต้องการ เช่น กล้องประเภท SLR (Single len Reflex) หรือเรียกว่า
กล้องสะท้อนเลนส์เดี่ยว เลนส์จะผนึกอยู่ข้างหน้าตัวกล้องซึ่งจะมีขนาดความยาว
โฟกัสแตกต่างกัน เช่น 50 มม. 35 มม. 105 มม. เป็นต้น

         3. ช่องมองภาพ (View Finder) ปกติช่องมองภาพจะอยู่ทางด้าน
หลังของตัวกล้อง เป็นจอมองภาพเพื่อช่วยในการประกอบ และจัดองค์ประกอบ
ของภาพ ให้มีความสวยงามตามหลักของศิลปะการถ่ายรูป

         4. ชัตเตอร์ (Shutter) ทำหน้าที่ควบคุมเวลาฉายแสง (Exposure Time) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ความไวของชัดเตอร์ (Shutter Speed)

         5. แผ่นไดอะแฟรม (Diaphram) ทำหน้าที่ควบคุมปริมาณความเข้ม
ของการส่องสว่างของแสงที่ตกลงบนแผ่นฟิล์ม มีลักษณะเป็นแผ่นโลหะบางๆ หลายๆ แผ่นซ้อนเหลี่ยมกันอยู่

         6. รูรับแสง (Aperture) เป็นรูเปิดของแผ่นไดอะแฟรมให้มีขนาดต่างๆ ตามต้องการ เช่น เมื่อต้องการให้แสงเข้ามากก็เปิดรูรับแสงให้มีขนาดใหญ่ และ
ทางตรงกันข้าม ถ้าต้องการให้ปริมาณแสงเข้าไปถูกฟิล์มน้อยก็เปิดรูให้เล็กลง การเปิดขนาดของรูรับแสงแตกต่างกันนี้มีตัวเลขกำหนดเอาไว้ ซึ่งตัวเลขนี้จะเป็น
วงแหวน ซึ่งจะติดอยู่ที่ตัวเลนส์เรียกตัวเลขต่างๆ ว่าเอฟสตอป (F-Stop) หรือ เอฟ
นัมเบอร์(F-Number) นอกจากส่วนประกอบที่สำคัญๆ ของกล้องถ่ายรูปดังกล่าว
แล้ว ผู้ใช้ควรจะศึกษาปุ่มปรับและควบคุมต่างๆ ที่อยู่บนกล้องถ่ายรูป กล้องทั่วๆ ไปจะมีปุ่มควบคุมดังนี้คือ



อุปกรณ์ที่ใช้ร่วมกับกล้อง
            นอกจากส่วนประกอบที่สำคัญๆ อันเป็นพื้นฐานของกล้องถ่ายรูปแล้ว
อาจต้องการใช้อุปกรณ์ อื่นๆ ประกอบเพื่อให้ การถ่ายรูปมีคุณภาพยิ่ง อุปกรณ์
ต่างๆ มีดังนี้ คือ

         1. เครื่องวัดแสง (Exposure light meter) เป็นเครื่อง
มือที่ช่วยบอกลักษณะของแสงที่พอเหมาะในการถ่ายรูปแต
่ละครั้งเพื่อให้ได้ภาพที่พอดี (Nor-mal) นั่นคือจะบอกหน้า
กล้องหรือขนาดของรูรับแสงที่พอเหมาะและความเร็วชัดเตอร์
ที่ควรใช้อันสัมพันธ์กับแสงสอดคล้องกับความมุ่งหมายการ
ถ่ายรูปนั้นๆ โดยปกติกล้องถ่ายรูประดับปานกลาง ถึงระดับดี จะมีเครื่องวัดแสงนี้ติดมาพร้อมกับกล้องอย่างไรก็ตามอาจจำเป็นที่ต้องมีเครื่อง
วัดแสงเฉพาะสำหรับงานบางอย่างก็ได้

         2. ขาตั้งกล้อง (Tripod, Camera Supports) เป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นในการถ่ายรูปที่ต้องใช้ความไวช้าๆ หรือ
ถ่ายรูปกลางคืนเพราะจะทำให้กล้องมั่นคงได้ภาพที่ไม่ไหว
ปกติขาตั้งกล้องมีลักษณะ 3 ขา (Tripod) ในบางครั้งอาจใช้
ขาเดียว Monopod) รับน้ำหนักก็ได้ หรือมีลักษณะเป็นแท่น
รองรับก็สุดแล้วแต่จุดมุ่งหมาย

         3. แว่นกรองแสง (Filters) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ประกอบ
กับเลนส์เพื่อให้ได้ภาพที่สวยงามแตกต่างไปจากภาพปกติใน
การถ่ายรูปสีแว่นกรองแสงจะช่วยควบคุมแสงแก้ไขสี เพิ่มสี
และทำภาพพิเศษอื่นๆ ได้ตามความต้องการในบางชนิด เช่น
สกายไลท์ (Skylight) ช่วยป้องกันเลนส์ไม่ให้สกปรกหรือเกิด
รอยขีดข่วนได้สำหรับการถ่ายรูปขาวดำ ฟิลเตอร์หรือ แว่นกรองแสงก็จะช่วยใน
การเน้นจุดสนใจของภาพให้ดียิ่งดีขึ้นซึ่งปกติฟิลเตอร์ที่ใช้กับงานถ่ายรูปขาวมี
นิยมอยู่5 สีด้วยกัน คือ สีเหลือง สีส้ม สีแดง สีน้ำเงิน และสีเขียว

         4. สายลั่นไก (Shutter Release Cable) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ต่อเข้ากับปุ่ม
ลั่นไกช่วยลั่นไกชัดเตอร์ โดยให้กล้องรับการกระทบกระเทือนน้อยที่สุดในกรณี
ที่ตั้งความไวชัดเตอร์ต่ำๆ ปกตินิยมใช้กับการถ่ายรูป วัตถุเล็ก ๆ หรืองานก้อบปี้ ตลอดจนการถ่ายรูปกลางคืน เมื่อจำเป็นต้อง
ใช้ความไวชัดเตอร์ต่ำๆ สายลั่นไก มีความยาวหลายขนาด
และบางชนิดอาจมีล็อกเพื่อให้การเปิดหน้ากล้องนานๆ ตาม
ต้องการ

         5. ไฟแฟลชอิเลคโทรนิค (Electronic Flash)
เป็นอุปกรณ์ที่เป็นแหล่งของแสงสว่างเพื่อช่วยถ่ายรูป เมื่อแสง
ไม่พอ เช่น ถ่ายรูปในเวลากลางคืนหรือในห้องที่ไม่ค่อยมีแสง
สว่าง
นอกจากนั้นอาจใช้ไฟแวบนี้ช่วยลดเงาเมื่อถ่ายภายใน
แสงหลักที่สว่างมากๆ นอกจากนั้นอาจใช้แหล่งแสงสว่างอื่นๆ แทนไฟแวบได้ เช่น ไฟส่อง (Flood) แบบที่ใช้ในห้องถ่ายรูป หรือพวกไฟที่ใช้กับโทรทัศน์ภาพยนตร์ที่เรียกว่าซันกัน (Sun Gun) ก็ได้

         6.
 เลนส์ ฮูด (Lense Hood) เป็นอุปกรณ์ที่ไม่มีแก้วเหมือนเลนส์ชนิดอื่นๆ
แต่เป็นเพียงกรอบ หรือขอบเพื่อสวมเข้าหน้าเลนส์ เพื่อกันการสะท้อนของแสง
หรือแสงส่องเฉียงที่ไม่ต้องการมากระทบผิวหน้าเลนส์เลนส์ฮูด
อาจทำด้วยโลหะหรือยางมีขนาดแตกต่างกันตามความยาว
โฟกัสของเลนส์และรัศมีเส้นผ่าศูนย์กลาง ของเลนส์ที่ใช้

        7. กระเป๋ากล้อง ( Case) เป็นอุปกรณ์ที่ควรจะสวมใส่กล้องไว้ตลอด เพราะป้องกันการขูดขีดของตัวกล้อง และเลนส์เป็นอย่างดียิ่งกว่านั้นป้องกันการ
กระทบกระเทือนได้อีกด้วยกระเป๋ากล้องอาจเป็นหนังชนิดแข็ง

        8. เครื่องขับเคลื่อนฟิล์มโดยอัตโนมัติ (Motor Drive,Autowinder) อุปกรณ์ชิ้นนี้อาจไม่จำเป็นในการถ่ายรูปปกติ เพราะมีเวลาในการเลื่อนฟิล์มด้วย
ตนเอง แต่สำหรับงานอาชีพที่ต้องการบันทึกภาพติดต่อกันในเวลาสั้นๆ ถ้ามัว
เคลื่อนฟิล์มอยู่อาจพลาดภาพนั้นๆ ได้ ดังนั้นจึงมีอุปกรณ์นี้ี่ช่วย ในการเลื่อนฟิล์ม
โดยอัตโนมัตินี้ โดยผู้ใช้เพียงกดปุ่มถ่ายภาพฟิล์มจะเลื่อนโดยอัตโนมัติบางชนิด
จะเลื่อนวินาทีละ 5 ภาพหรือบางชนิดอาจต่ำกว่านั้น

         9. กระเป๋าเก็บกล้อง และอุปกรณ์อื่นๆ (Baggage) เป็นกระเป๋าเอนก
ประสงค์ที่สามารถบรรจุกล้องและอุปกรณ์ประกอบต่างๆ นำไปใช้ถ่ายรูปได้นอก
จากนั้นยังช่วยป้องกันการกระแทกได้เป็นอย่างดี สามารถเก็บกล้องและรักษา
ฟิล์มได้ด้วย กระเป๋าบางชนิดอาจทำเป็นกล่องอะลูมิเนียมบุด้วยฟองน้ำกันการ
กระเทือน บางชนิดทำด้วยผ้าร่มสักหลาดหรือผ้าใบ และบางชนิดยังสามารถ
ป้องกันน้ำเข้าไปในกระเป๋าได้

เทคนิคการถ่ายภาพ

เรื่อง/ภาพ : ประสิทธิ์ จันเสรีกร


กล้องดิจิตอลแม้จะมีหลักการทำงานคล้ายกับกล้องใช้ฟิล์มคือ แสงแผ่นเลนส์ ผ่านรูรับแสง และม่านชัตเตอร์ ไปตกกระทบกับเซ็นเซอร์ภาพ (ซึ่งส่วนใหญ่นิยมใช้ CCD) ก่อนกดชัตเตอร์กล้องจะปรับโฟกัสและวัดแสง หรือจะปรับตั้งเองก็ได้ เพื่อให้เกิดผลตามที่ต้องการ แต่ด้วยความที่เป็นดิจิตอล ทำให้ ปรับแต่ง ฟังก์ชั่น หรือลูกเล่นต่างๆ ได้มากมายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ในกล้องใช้ฟิล์ม จึงต้องเรียนรู้เพิ่มเติม และ ทำความเข้าใจให้ดี จึงจะใช้กล้องดิจิตอลได้อย่างคุ้มค่าเต็มประสิทธิภาพ และได้ประโยชน์สูงสุด




1. ปิดสวิตซ์ทุกครั้งที่ไม่ได้ใช้งาน กล้องดิจิตอล มีระบบการทำงานแบบอิเล็กทรอนิกส์ ควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ทั้งหมด ทำให้สิ้นเปลืองแบตเตอรี่มาก ควรปิดสวิตซ์ทุกครั้งที่เลิกใช้งาน จะช่วยให้คุณถ่ายภาพได้มากขึ้น โดยไม่ต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่บ่อยๆ หากมีฟังก์ชั่น Auto off ให้ตั้งเวลาปิดอัตโนมัติเมื่อไม่ได้ใช้งาน 30 หรือ 60 วินาที



2.ใช้แบตเตอรี่ชาร์จดีกว่า กล้องดิจิตอลหลายรุ่นใช้แบตเตอรี่แบบ AA อัลคาไลน์ โดยแถมมาให้ด้วย 2 หรือ 4 ก้อน แต่คุณอาจตกใจเมื่อใส่แบตเตอรี่ใหม่เข้าไป กดชัตเตอร์ถ่ายไป 20-30 ภาพ โดยเปิดดูภาพ จากจอมอนิเตอร์ และใช้แฟลชถ่ายภาพ แบตเตอรี่ก็หมดเสียแล้ว ขอแนะนำให้เปลี่ยนไปใช้แบตเตอรี่แบบ นิเกิล-เมทัลไฮไดร์ (NiMH) ซึ่งชาร์จไฟเพิ่มได้ ราคาก้อนละ 100-150 บาท เลือกแบบที่ให้กำลังไฟ 1000-1500 มิลลิแอมป์ จะถ่ายภาพได้นานขึ้น ถ้าหมดก็ชาร์จใหม่ ซื้อเผื่อไว้สัก 2-3 ชุดก็จะดี ส่วนกล้องที่แถมแบตเตอรี่ NiMH หรือ Li-ion มาให้อยู่แล้ว อาจซื้อเพิ่มอีกสักหนึ่งชุดเผื่อฉุกเฉิน



3. ดูภาพในช่องมองออฟติคัล ในกล้องใช้ฟิล์มแบบ SLR หรือ คอมแพค เราจะมองภาพจากช่องมอง ซึ่งกล้องดิจิตอลก็มีเช่นกัน เรียกว่าช่องมองภาพออฟติคัล ออกแบบให้สัมพันธ์ กับทางยาวโฟกัส ของเลนส์ทุกช่วงซูม และยังดูภาพจากจอมอนิเตอร์แบบ LCD ทางด้านหลังได้ด้วย ทำให้ผู้ใช้นิยมดูภาพจาก
มอนิเตอร์แทน แต่วิธีนี้แบตเตอรี่จะหมดเร็วมาก ควรใช้เฉพาะเท่าที่จำเป็นเช่น การถ่ายภาพมาโครระยะใกล้ๆ ซึ่งจะให้มุมภาพ ที่ถูกต้อง ตามความเป็นจริง ถ้าถ่ายภาพไกลๆ ซัก 5 เมตรขึ้นไป ให้ดูจากช่องมองภาพ แบบออฟติคัลแทน




4.เปลี่ยนไปใช้การ์ดความจุสูง การ์ดจัดเก็บภาพมีหลายแบบ เช่น CF, Microdrive, SmartMedia, Memory Stick, SD, MMD เป็นต้น ปัจจุบันมีความจุสูง และราคาที่ลดลง เช่น CF ความจุ 128 MB หาซื้อได้ในราคาเพียง 3,000-4,000 บาทเท่านั้น (สองปีก่อนราคา 17,000-20,000 บาท) ปัจจุบันการ์ด CF มีจำหน่ายในขนาด 512 MB แล้ว ต้นปีหน้าจะมีขนาด 1000 MB หรือ 1GB ตามออกมาอีกหลายยี่ห้อ หรือการ์ด Microdrive (ใช้แทนการ์ด CF ได้ในบางยี่ห้อ) ความจุ 340, 500 และ 1000MB ก็น่าสนใจ เพราะเทียบขนาดความจุแล้ว ถูกกว่ามากทีเดียว แต่เป็นการ์ดแบบฮาร์ดดิสก์ ต้องระวังอย่าให้ตกหล่นจะเสียหายได้ง่าย เมื่อการ์ดมีความจุสูง ก็จะช่วยให้ถ่ายภาพได้มากขึ้น ในบางครั้งเมื่อไม่แน่ใจเรื่องสภาพแสง อาจถ่ายภาพคร่อม เผื่อไว้หลายๆ ภาพ แล้วค่อยมาเลือกภาพที่ดีที่สุดภายหลัง



5.อย่าใส่การ์ดขณะเปิดสวิตซ์กล้อง เพื่อลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้ ไม่ควรใส่การ์ดขณะที่สวิตซ์กล้องถูกเปิดอยู่ และควรใส่การ์ดด้วยความระมัดระวัง ให้ใส่การ์ดเข้าไปตรงๆ ในด้านที่ระบุไว้ในคู่มือ หากใส่ผิดด้านจะใส่ไม่ได้ อย่าไปฝืนโดยเด็ดขาด หากจะให้ผู้อื่นยืมไปใช้ควรอธิบายให้เข้าใจด้วยทุกครั้ง




6.ใช้แฟลชภายนอก กล้องบางรุ่นสามารถใช้แฟลชภายนอกได้ โดยเสียบเข้ากับฮอทชู หรือสายซิงค์แฟลช วิธีนี้ทำให้ได้ภาพที่ดีขึ้นและใช้งานได้ไกลกว่าแฟลชขนาดเล็กที่ติดอยู่บน ตัวกล้อง การใช้แฟลช ที่มีกำลังไฟสูงภายนอก ทำให้ใช้รูรับแสงแคบได้ ส่งผลให้ภาพมีระยะชัดลึกมากขึ้น และ ประหยัดแบตเตอรี่ที่ตัวกล้อง เพราะไม่ต้องใช้แฟลชที่มีอยู่ในตัว



7.ล็อคภาพสำคัญเอาไว้ กล้องบางรุ่นมีฟังก์ชั่นล็อคภาพ ป้องกันการลบโดยไม่ตั้งใจ เพราะส่วนใหญ่เน้นให้ลบภาพทิ้งได้ง่ายๆ เพื่อถ่ายภาพใหม่ต่อไป ทำให้เผลอลบภาพสำคัญทิ้งไป ดังนั้นหลังจากถ่ายภาพจนได้ภาพที่พอใจแล้ว ควรกดปุ่มล็อคภาพทุกครั้ง




8.จัดเก็บภาพด้วยซีดีรอม หลังจากถ่ายภาพจนการ์ดเต็มแล้ว เรามักถ่ายโอนภาพทั้งหมด ไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งภาพจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าฮาร์ดดิสก์ของคุณจะมีมากแค่ไหน แต่ถ้าเกิดปัญหาเสียขึ้นมา ภาพที่คุณอุตส่าห์ถ่ายมาทั้งหมดก็จะสูญหายไปทันที เพื่อความปลอดภัย ควรบันทึกภาพลงแผ่นซีดี-รอม ซึ่งมีความจุ 650-700 MB ต่อแผ่น ราคา 20-30 บาทเท่านั้น ควรเลือกแผ่นซีดี ที่มีคุณภาพเช่น Kodak Fujifilm หรือ Sony ซึ่งมีความคงทนเก็บรักษาได้ยาวนานหลายสิบปี ส่วนเครื่องเขียนแผ่นซีดี ราคาลดลงมาก ประมาณ 4,000 บาทขึ้นไป และควรเขียนแผ่นซีดีไว้สองแผ่น เก็บรักษาไว้โดยไม่นำมาใช้งานหนึ่งแผ่น อีกแผ่นสำหรับการใช้งานทั่วๆ ไป ถ้าแผ่นซีดีเสียหายหรือสูญหายยังมีต้นฉบับอีกแผ่น นำมาก๊อปปี้เพื่อใช้งานได้อีก



9.ซูมขยายภาพดูความคมชัด ฟังก์ชั่นดิจิตอลที่ผมใช้บ่อยคือ หลังจากถ่ายภาพไปแล้ว ให้กดปุ่มซูมขยายภาพขึ้นมาดู โดยซูมให้มากที่สุดจากนั้นเลื่อนดูส่วนต่างๆ ของภาพว่าคมชัดเพียงพอหรือไม่ บางครั้งการถ่ายภาพด้วยช่วงซูมเทเล แล้วเปิดรูรับแสงกว้าง ระยะชัดลึกจะน้อยมาก ทำให้ความคมชัด มีเฉพาะบางส่วนเท่านั้น หากเป็นกล้องใช้ฟิล์ม ต้องรอหลังจากล้างฟิล์มแล้ว ถึงจะรู้ว่า ภาพที่ได้ มีความคมชัดดีมากน้อยแค่ไหน นอกจากนี้ ในกรณีที่ถ่ายภาพ ด้วยความเร็วชัตเตอร์ต่ำ แล้วไม่มั่นใจว่า ภาพจะคมชัดเพียงพอ สามารถซูมขยายภาพขึ้นมาดูได้เช่นกัน



10. ปรับความสว่างของจอมอนิเตอร์ หากคุณถ่ายภาพโดยวัดแสงให้พอดี แล้วพบว่า ภาพที่ปรากฎ บนจอมอนิเตอร์ มืดเกินไปหรืออันเดอร์ อย่าเพิ่งโทษว่าระบบวัดแสงผิดพลาด ลองโหลดภาพ เข้าสู่คอมพิวเตอร์ แล้วเปิดภาพนั้นดู ขอแนะนำให้ใช้ซอพท์แวร์เปิดภาพที่แถมมาพร้อมกล้อง ถ้าพบว่าภาพสว่างพอดี แสดงว่า จอมอนิเตอร์มืดเกินไป ให้เลือกเมนูปรับเพิ่มความสว่างจนเท่ากับที่ปรากฎบนจอคอมพิวเตอร์



11. ใช้กราฟฮีสโตแกรม กล้องดิจิตอลส่วนใหญ่ในปัจจุบันมีฟังก์ชั่น แสดงกราฟฮีสโตแกรมบนจอมอนิเตอร์ ทำให้ทราบได้ทันทีว่า ภาพที่ถ่ายไปแล้วมีโทนภาพดีมากน้อยแค่ไหน หากส่วนที่เป็นชาโดว์ (โทนมืด) หรือส่วนที่เป็นไฮไลท์ (โทนสว่าง) ไม่ดีพอ สามารถปรับแก้ไขโทน หรือ คอนทราสท์จากฟังก์ชั่นเมนู แล้วถ่ายภาพใหม่จนได้โทนภาพดีที่สุด แม้ว่าจะสามารถปรับแก้ไขโทนภาพจากซอพท์แวร์ตกแต่งภาพเช่น Adobe Photoshop ก็ตาม แต่การถ่ายภาพให้มีโทนภาพดีที่สุด โดยไม่ต้อง ปรับแต่ง หรือ ปรับเพียงเล็กน้อย จะให้ภาพที่ดีกว่า มีรายละเอียดครบถ้วน ตั้งแต่ส่วนสว่างที่สุด จนถึงมืดที่สุดในภาพ



12. เลือกใช้ฟอร์แมท RAW หรือ TIFF กล้องดิจิตอลมักมีฟอร์แมทภาพให้เลือกใช้ 2 อย่างคือ JPEG เป็นการบีบอัดภาพให้มีขนาดไฟล์เล็กลง เพื่อประหยัดเนื้อที่ในการจัดเก็บภาพ มีข้อเสียคือคุณภาพลดลง การไล่เฉดสีไม่ดีพอ เพราะแสดงดีได้เพียง 24 บิต หากต้องการภาพคุณภาพสูงสุด ควรเลือกฟอร์แมท RAW หรือ TIFF ซึ่งจะไม่มีการบีบอัดข้อมูล อีกทั้งการ์ดจัดเก็บภาพในปัจจุบันมีความจุสูง และราคาที่ลดลงตามลำดับ ในอนาคตอาจไม่มีความจำเป็นต้องใช้ฟอร์แมท JPEG อีกต่อไป และฟอร์แมท RAW ยังสามารถ บันทึกภาพ ให้แสดงสีได้ 12 บิตต่อสีหรือ 36 บิต (RGB) การไล่เฉดสีจึงดีเยี่ยม ได้ภาพที่ดูเป็นธรรมชาติ เช่นเดียวกับการใช้ฟิล์ม



ที่มา : Shutterphoto.com

การดูแลรักษากล้องดิจิตอล





ถามตอบปัญหาต่างๆ เกี่ยวกับ เทคโนโลยี ถามในเว็บบอร์ดของ
http://tech.mthai.com นะคะ
1. การทำความสะอาดกล้องดิจิตอล
การทำความสะอาดกล้องเป็นเรื่องง่ายและต้องทำอย่างถูกต้องด้วย ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุดที่จะรักษาเลนส์ให้สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพอยู่เสมอปราศจากรอยนิ้วมือ
ก่อนทำการเช็ดเลนส์ ให้จับด้านบนของตัวกล้อง และเป่าฝุ่นออก จากนั้นให้เช็ดเลนส์และส่วนอื่นๆของตัวกล้องเบาๆ ด้วยผ้าแห้งหรือกระดาษสำหรับทำความสะอาดเลนส์
หากจำเป็นให้เช็ดเลนส์ด้วยน้ำยาทำความสะอาดเลนส์เพียงเล็กน้อย หยดน้ำยาทำความสะอาดลงบนกระดาษทำความสะอาดเลนส์ อย่าหยดลงบนตัวเลนส์โดยตรง
ผ้าที่ทำความสะอาดกล้องได้ดีที่สุดจะทำมาจากพวกไมโครไฟเบอร์ที่เก็บไว้ในถุงพลาสติกหากไม่ใช้งาน ตัวอย่างเช่น ผ้าเช็ดหน้าบางๆ หรือเสื้อที่เป็นผ้าคัตตอนก็สามารถนำมาใช้ได้ ส่วนผ้าขนหนู กระดาษเช็ดปาก หรือกระดาษทิชชูอาจจะไม่เหมาะสำหรับทำความสะอาดเลนส์
2. การซ่อมแซมกล้องดิจิตอล
กล้องดิจิตอลสร้างขึ้นด้วยขนาดที่เล็กกะทัดรัดและมีส่วนประกอบอิเล็คทรอนิคจำนวนมากที่ยากต่อการซ่อมแซม ดังนั้น ในการซ่อมแซมกล้องดิจิตอลต้องอาศัยอุปกรณ์และเครื่องมือที่มีมาตรฐาน
ปัญหาโดยทั่วไปของกล้องดิจิตอล
ปัญหาโดยทั่วไปที่พบบ่อยที่สุดก็คือเลนส์ซูมไม่ทำงาน กล้องไม่โฟกัสหรือไม่จับภาพ และข้อความต่างๆที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอ LCD เกิดขัดข้อง สิ่งเหล่านี้คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งกับกล้องดิจิตอล
ปัญหาอื่นๆ ก็จะเกี่ยวกับ memory card หากเสียบ card ผิดวิธีก็อาจทำให้เกิดความเสียหายได้ และเรื่องของหน้าจอมีรอยขีดข่วน
สิ่งที่จะต้องตรวจสอบก่อนนำกล้องไปทำการซ่อม
แบตเตอรี่หมด กล้องจะไม่ทำงานหากแบตเตอรี่หมด ให้ลองใส่แบตเตอรี่ใหม่เข้าไปบางทีกล้องอาจจะไม่ได้เสียอย่างที่คิดก็ได้
การควบคุมตัวกล้องเป็นไปได้ที่อาจจะกดปุ่มผิดเข้าโดยบังเอิญ ให้ลองตรวจสอบการตั้งค่าดู
memory card เต็ม หาก memory card เต็ม กล้องจะไม่สามารถเปิดได้ ให้ลองเช็คดู
ให้ลองรีเซ็ทกล้องให้ลองรีเซ็ทกล้องใหม่ผ่านทางเมนูหรือการเอาแบตเตอรี่ออกประมาณ 24 ชั่วโมง
OK มันคงเสียจริงๆ
หากทดลองทำตามข้อแนะนำข้างต้นแล้วยังใช้ไม่ได้อยู่อีก ให้โทรหาศูนย์บริการซ่อมได้เลย ควรถามถึงระยะเวลาในการซ่อมแซมและถามถึงการรับประกันสินค้าด้วย หากจะซ่อมอุปกรณ์เล็กๆน้อยๆ ให้หาร้านที่มีในท้องที่ดูเพื่อค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่า
ให้ตรวจสอบบริการต่างๆของผู้ผลิต
การทำงานที่ผิดพลาดของตัวกล้องในบางครั้งก็เป็นความผิดพลาดของตัวผู้ผลิตเอง ให้ศึกษารายละเอียดของสินค้า ทางบริษัทก็จะทำการซ่อมแซมให้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ แม้ว่าจะเกินกำหนดระยะเวลาของการรับประกันสินค้ามาแล้วก็ตาม ดังนั้นก่อนที่จะส่งกล้องไปซ่อมให้เข้าไปดูเว็บไซต์ของบริษัทผู้ผลิตเพื่อหาข้อมูลหากมีข้อมูลที่เกี่ยวกับตัวกล้องของคุณ
3. กล้องดิจิตอลกับสภาพอากาศสภาพอากาศแบบร้อน หนาว หรือมีฝนตก อาจไม่เป็นอุปสรรคในการถ่ายภาพด้วยกล้องดิจิตอลของคุณ อย่างไรก็ตาม การป้องกันอุปกรณ์ของกล้องไม่ให้ได้รับความเสียหายไว้ก่อนก็ยังดีกว่า
การเก็บอุปกรณ์ไว้ในถุงใส่กล้องที่กันน้ำจะช่วยให้ป้องกันกล้องจากสภาพอากาศต่างๆได้ หากมีตัว filter ติดอยู่ เช่น skylight filter ก็ให้ใช้อุปกรณ์ที่สามารถปกป้องเลนส์ได้
หากฝนเกิดตกลงมากะทันหันขณะที่คุณกำลังแบกกล้องอยู่ ก็ให้เอาแจ็คเก็ตหรือเสื้อคลุมเอาไว้ก่อน หรือหากกล้องมีขนาดเล็กกะทัดรัด ก็ให้เอาไส่กระเป๋ากางเกงหรือกระเป๋าเสื้อไว้ ในกรณีที่เตรียมพร้อมรับมือกับฝนอยู่แล้ว ช่างภาพบางคนก็เอาถุงพลาสติกคลุมรอบๆตัวกล้องไว้
ในสภาพอากาศที่หนาวมากๆ ให้เก็บกล้องไว้ในที่อุ่นๆหน่อย ส่วนในสภาพอากาศที่ร้อนก็อย่าให้กล้องถูกแสงแดดโดยตรง ควรหาผ้ามาคลุมกล้องไว้ อย่างเช่น ผ้าขนหนู, หรือผ้าที่มีสีสว่างหน่อย ทำให้กล้องไม่ดูดซับความร้อนมากเกินไป อย่าทิ้งกล้องหรืออุปกรณ์เกี่ยวกับตัวกล้องไว้ในรถที่เย็นหรือร้อนมากๆ
4. สิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำ ในการดูแลรักษากล้องดิจิตอล
สิ่งที่ต้องทำ
ทำความสะอาดกล้องอย่างสม่ำเสมอ
จับทุกๆส่วนของตัวกล้องด้วยความทะนุถนอม
ปิดกล้องก่อนที่จะเอาแบตเตอรี่ออกหรือถอดสายเคเบิลออก หรือ ถอด memory card
รักษากล้องให้อยู่ในสภาพแห้งและให้ห่างจากที่ที่มีน้ำอยู่เสมอ
เก็บกล้องให้ถูกวิธี หากจะไม่ใช้งานเป็นระยะเวลานาน
สิ่งที่ไม่ควรทำ
อย่าให้กล้องได้รับแรงสั่นสะเทือน, ใกล้กับแม่เหล็ก, กลุ่มควัน, น้ำ, ไอน้ำ, ทราย, หรือสารเคมี
เก็บหรือใช้งานในที่ที่เปียกชื้น ที่ที่มีฝุ่นเยอะๆหรือที่ที่สกปรก
เก็บกล้องในที่ที่มีอุณหภูมิสูงหรือต่ำเกินไป
ให้สัมผัสแสงแดดโดยตรงเป็นระยะเวลานาน หรือเอาไว้ในรถเมื่ออากาศร้อนมากๆ
ขีดข่วนกล้องด้วยวัตถุมีคม
ทิ้งไว้ในน้ำ
วิธีการเก็บกล้องดิจิตอล
การดูแลรักษาเป็นสิ่งจำเป็น หากคุณต้องการให้กล้องมีอายุการใช้งานได้ยาวนาน จึงควรเก็บกล้องไว้ในที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก ให้ห่างจากความชื้นและความสกปรก
ก่อนที่จะเก็บกล้องดิจิตอล ต้องแน่ใจว่าได้ปิดเครื่องแล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้กล้องเกิดความเสียหายได้ ให้ถอดแบตเตอรี่ออกและเก็บไว้ในที่ที่แห้ง แนะนำว่าให้ใส่ถุงพลาสติกที่มีความแห้งมากๆ เช่น ซิลิกา เจล ซึ่งจะดูดซับความชื้นไว้ได้ดี
อ่านความรู้มากมาย และถามตอบปัญหาต่างๆ เกี่ยวกับ เทคโนโลยี ถามในเว็บบอร์ดของ
http://tech.mthai.com นะคะ